เชกสเปียร์และแฮมเลต
- PHURITA CEO
- 29 ก.ย.
- ยาว 1 นาที
ทำไมคุณควรอ่าน แฮมเลต: โศกนาฏกรรมที่ยังสดใหม่กว่าอาหารในตู้เย็น
ทุกครั้งที่พูดถึงเชกสเปียร์ หลายคนทำหน้าเหมือนถูกสั่งให้อ่านคู่มือการใช้งานหม้อหุงข้าว รุ่นปี 1600 แต่เชื่อเถอะ แฮมเลต ไม่ใช่ตำราน่าเบื่อ มันคือวรรณกรรมที่ยัง “อิน” จนทุกวันนี้

1. มันคือดราม่าครอบครัวที่โลกไม่เคยเลิกเสพ
ลองคิดดู: พ่อตายปริศนา แม่แต่งงานกับลุงแทบจะทันที ลุงยังนั่งบัลลังก์แทนพ่ออีกต่างหาก นี่มันพล็อตละครเย็นชัดๆ ต่างกันแค่เชกสเปียร์เขียนเก๋ากว่าคนเขียนบทในทีวี
2. แฮมเลต = คนที่เรารู้จักดีเกินไป
เขาไม่ได้เป็นเจ้าชายผู้กล้าแกร่ง แต่เป็นคนที่คิดเยอะ ลังเล สับสนในศีลธรรม และจมอยู่ในความเศร้า ถ้าแฮมเลตอยู่ยุคนี้ คงโพสต์ทวิตยาวเป็นกิโลทุกคืนว่า “ทำไมชีวิตมันยากขนาดนี้”ความเป็นมนุษย์แบบนี้ทำให้คนอ่านรู้สึกเชื่อมโยงได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กมหาลัยหรือผู้บริหารบริษัท
3. คำพูดที่กลายเป็นตำนาน
“To be, or not to be” ไม่ใช่แค่ประโยคเท่ๆ มันคือการตั้งคำถามกับการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง บางทีเราก็แอบถามคำถามเดียวกันนี่แหละเวลานั่งรถติดสามชั่วโมงในกรุงเทพ
4. สะท้อนสังคมการเมืองได้ทุกยุค
เชกสเปียร์เขียนถึงการแย่งชิงอำนาจ การโกหกในราชสำนัก และการแสดงละครเพื่อเปิดโปงความจริง ฟังดูคล้ายข่าวการเมืองบ้านเรามั้ย? นี่แหละพลังของวรรณกรรมที่ไม่มีวันหมดอายุ
5. ได้ทั้งภาษาอังกฤษและมุมมองชีวิต
การอ่าน แฮมเลต เป็นการซึมซับภาษาอังกฤษแบบที่ยังใช้เป็นสำนวนคมๆ จนทุกวันนี้ แถมยังบังคับให้เรามองเรื่องความตาย ความยุติธรรม และการเลือกทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างในชีวิต
สรุป
แฮมเลต ไม่ได้เป็นแค่ “บทละครเก่าๆ” แต่มันคือกระจกสะท้อนความลังเล ความเจ็บปวด และความงดงามที่เรียกว่า “การเป็นมนุษย์” ถ้าอยากอ่านอะไรที่ทั้งกระแทกใจทั้งขำขื่น และยังได้ภาษาอังกฤษแบบระดับตำนาน ก็ถึงเวลาหยิบ แฮมเลต มาเปิด


ความคิดเห็น