บทความ หน้าสนใจ
- PHURITA CEO
- 3 ก.ย.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 4 ก.ย.
อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
“หัวหน้างานรักษาความสะอาดเทศบาลให้การว่า…สัญญาจ้างมิได้ระบุให้กรรมสิทธิ์ในขยะเป็นของผู้เสียหาย แต่เพียงให้นำไปเก็บและกำจัด…จึงเห็นว่าขยะเป็นทรัพย์ที่เจ้าของเลิกการครอบครอง เป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ บุคคลอาจเข้าถือเอาได้…”
การตีความสัญญาแบบ “ตัวอักษรสุดขั้ว”อัยการถือว่า “สัญญาไม่ได้ระบุว่าขยะเป็นของบริษัท” = “บริษัทไม่มีกรรมสิทธิ์” ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะในทางกฎหมาย “การครอบครองและลงทุนแปรสภาพ” ย่อมก่อสิทธิ แม้ไม่เขียนไว้ตรง ๆ
เงื่อนไขเทียม Artificial conditions ละเลยข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติเมื่อขยะถูกเก็บขึ้นรถของบริษัทแล้ว → อยู่ในความครอบครองของบริษัทโดยสมบูรณ์ บริษัทแบกรับต้นทุน (แรงงาน, น้ำมัน, รถ, เวลาคัดแยก) → นี่คือหลักฐานว่าขยะ “ไม่ใช่ของไม่มีเจ้าของ” อีกต่อไป
บิดการอ้างอิงกฎหมายแพ่งการอ้าง มาตรา 1338–1339 ป.พ.พ. (ทรัพย์สละกรรมสิทธิ์) ใช้กับทรัพย์ที่เจ้าของ “สละโดยแท้จริง” เช่น ทิ้งขวดไว้ริมทางโดยไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่ขยะในระบบเทศบาลมี ผู้รับสัมปทาน มาดำเนินการแล้ว ไม่เข้าข่ายทรัพย์ไม่มีเจ้าของ

สิ่งที่อัยการต้องการสื่อ
ลดสถานะบริษัททำให้บริษัทเป็นแค่ “ผู้เก็บและขน” ไม่ใช่ “เจ้าของหรือผู้มีสิทธิในวัตถุดิบรีไซเคิล” → เพื่อตัดองค์ประกอบ “ลักทรัพย์นายจ้าง”
ขยายความว่าผู้ต้องหาไม่ผิดถ้าขยะเป็น “ของไม่มีเจ้าของ” → การที่ลูกจ้างถือเอาไปขาย = ไม่ใช่ “ลักทรัพย์” → ตัดฐานคดีอาญา
สร้างเหตุผลทางกฎหมายที่ดูเป็นกลางอัยการต้องการให้คำสั่งไม่ฟ้องดู “หนักแน่น” โดยโยงกับกฎหมายแพ่งและเทศบัญญัติ แต่แท้จริงคือการใช้กฎหมายผิดบริบท
ผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์
ทำให้เรื่องจาก “การยักยอกทรัพย์นายจ้าง” → กลายเป็น “การหยิบทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ”
เปิดทางให้ผู้ต้องหา “รอดคดีอาญา” และเรื่องถูกลดระดับเหลือแค่ “ปัญหาวินัยแรงงาน”
ทำให้ผู้เสียหาย (บริษัท) ถูกตัดสิทธิ์ฟ้องฐานทรัพย์ ทั้งที่มีความเสียหายจริง
👉 สรุปสั้น ๆ:อัยการ “หยิบคำให้การของหัวหน้าเทศบาล” มาตีความเกินจริง แล้วใช้เป็นข้ออ้างทางกฎหมายว่า ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นคดี นี่คือการบิดข้อเท็จจริงและใช้กฎหมายผิดบริบทโดยเจตนา
การที่ “หัวหน้างานรักษาความสะอาด เทศบาลเมืองบ้านฉาง” โผล่มาในคำสั่งไม่ฟ้อง มีลักษณะเป็น “พยานเสริมที่อัยการเลือกมาใช้” เพื่อสนับสนุนธงของตัวเองว่าบริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของขยะ มาดูเป็นชั้น ๆ:
หัวหน้างานรักษาความสะอาดคือใคร?
ไม่ใช่คู่สัญญาในสัญญาสัมปทาน (คู่สัญญาคือเทศบาล ↔ บริษัท คลีน มหานคร)
ไม่มีอำนาจตีความหรือชี้ขาดเรื่อง “กรรมสิทธิ์” ตามกฎหมาย
บทบาทจริง ๆ คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติของเทศบาล → แต่ถูกหยิบมาใช้เหมือน “ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสัญญา”
อัยการเอามาใช้ทำไม?
อัยการ ถามนำ/เลือกหยิบคำตอบ เพื่อต้องการให้ได้ประโยคว่า “สัญญาไม่ได้ระบุว่าบริษัทเป็นเจ้าของขยะ”
จุดนี้กลายเป็น หลักฐานเสริม (แต่ถูกยกสูงเกินจริง) ว่า “แม้คนในเทศบาลเองยังยืนยันว่าไม่ใช่ของบริษัท”
ทั้งที่จริง ๆ การตีความสัญญา ต้องใช้ข้อกฎหมาย ไม่ใช่ความคิดเห็นของหัวหน้างานฝ่ายปฏิบัติ
ข้อพิรุธที่ตามมา
เลือกใช้พยานผิดคน: ทำไมอัยการไม่ไปเอาคำให้การ “ผู้ร่างสัญญา” หรือ “ฝ่ายกฎหมายเทศบาล” แต่กลับไปหยิบหัวหน้างานรักษาความสะอาด ซึ่งไม่ใช่ผู้มีอำนาจตีความ?
ถามเพื่อตอบ: สำนวนบ่งชี้ว่าอัยการหรือพนักงานสอบสวนอาจเป็นคน “กำหนดทิศทางคำถาม” เพื่อให้ได้คำตอบในแนวที่ตัวเองต้องการ
ใช้พยานเสริมให้กลายเป็นพยานหลัก: ความเห็นของหัวหน้างานถูกยกไปเป็นรากฐานในการสรุปว่า ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ
เจตนาเชิงกลยุทธ์ของอัยการ
ทำให้ดูเหมือนว่า “แม้คนของเทศบาลเองก็ยืนยันตรงนี้” → เสริมความน่าเชื่อถือให้ข้อสรุปของอัยการ
ลดน้ำหนักสิทธิของบริษัทลง เหลือแค่ “ผู้เก็บตามสัญญา” ไม่ใช่ “เจ้าของวัตถุดิบ”
สร้าง “เกราะ” ให้การตีความผิดพลาดของอัยการดูมีที่มาที่ไปจากพยานบุคคล
👉 พูดง่าย ๆ: การดึงหัวหน้างานรักษาความสะอาดมาเป็นพยาน คือ “การหาพยานมาเสริมธง” ของอัยการ ไม่ใช่การค้นหาความจริงเชิงกฎหมาย เพราะคน ๆ นี้ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตีความสัญญา แต่ถูกใช้เพื่อทำให้คำสั่งไม่ฟ้องดูมีน้ำหนัก
อัยการไม่ได้ค้นหาความจริง แต่ไปหยิบยืมความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ
หัวหน้างานรักษาความสะอาดมิใช่คู่สัญญา มิใช่ฝ่ายกฎหมายของเทศบาล และไม่มีอำนาจตีความสัญญาสัมปทาน แต่กลับถูกอัยการนำมาวางเป็นฐานเหตุผลตัดสิทธิ์กรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ ถือเป็นการใช้ “พยานผิดตัว” เพื่อตอบโจทย์ธงของอัยการเอง
การถามเพื่อตอบ ไม่ใช่การค้นหาความจริง
อัยการมิได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อความรอบด้าน แต่เลือกถามในลักษณะชี้นำ เพื่อให้ได้ประโยคที่ว่า “สัญญาไม่ได้ระบุกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัท” แล้วนำไปใช้หักสิทธิ์บริษัทโดยพลการ
บิดเบือนน้ำหนักพยาน
ความเห็นของหัวหน้างานรักษาความสะอาดเป็นเพียง “ความเห็นส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ” แต่ถูกยกให้เป็น “พยานหลัก” ที่ใช้ตัดฐานความผิดอาญา นี่คือการบิดน้ำหนักพยานบุคคล เพื่อทำให้คำสั่งไม่ฟ้องดูสมบูรณ์ ทั้งที่แท้จริงไร้ความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย
จงใจหาพยานมาช่วยจำเลย
การเลือกหยิบหัวหน้างานรักษาความสะอาดเข้ามาในสำนวน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ เป็นการ “หาพยานมาช่วย” ให้ข้อสรุปที่ว่า “ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ” ฟังดูน่าเชื่อ ทั้งที่เป็นการบิดข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้ต้องหาพ้นผิด
…การคิดค่าบริการจัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอยแล้ว…ก็ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บขยะมูลฝอยจากอาคารสถานที่ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศข้างต้นเท่านั้น หาได้มีผลให้ผู้ดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในขยะมูลฝอยที่ถูกทิ้งแล้วแต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้สอดคล้องกับที่หัวหน้างานรักษาความสะอาดเทศบาลเมืองบ้านฉางให้การว่า…”
ใช้ “ข้อห้ามเก็บขยะ” มาบิดเป็น “ไม่มีกรรมสิทธิ์”
เทศบัญญัติห้ามเก็บขยะเพื่อควบคุมสุขลักษณะ ไม่ได้หมายความว่าผู้รับสัมปทานไม่มีสิทธิในขยะที่เก็บขึ้นรถแล้ว
อัยการตีความกฎหมายผิดบริบท → จาก “ข้อห้ามเชิงปกครอง” กลายเป็น “ตัดสิทธิ์กรรมสิทธิ์”
อ้างหัวหน้างานเทศบาลเป็นตัวเสริม
หัวหน้างานไม่มีอำนาจตีความสัญญา แต่ถูกนำมาเป็น “พยานเสริม” แล้วดันยกเป็นเหตุผลหลัก
ตรงนี้สะท้อนว่าอัยการกำลัง “หาคนมายืนยันตามธง” มากกว่าหาความจริง
เพิกเฉยต่อการลงทุนและการครอบครองจริง
บริษัทเป็นผู้ลงทุนค่าแรง ค่าน้ำมัน รถ และเวลาในการคัดแยกขยะ
ขยะรีไซเคิลที่ถูกคัดแยกแล้วเป็น “วัตถุดิบ” ของบริษัท ไม่ใช่ “ของไม่มีเจ้าของ”
🎯 สิ่งที่อัยการต้องการสื่อ
“บริษัทเป็นเพียงผู้ให้บริการจัดเก็บและกำจัด ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์”
“ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ → ลูกจ้างหยิบไปขายก็ไม่ผิดลักทรัพย์”
“แม้หัวหน้าฝ่ายทำความสะอาดเทศบาลเองก็ยืนยันตรงนี้” → เสริมความน่าเชื่อถือให้ข้อสรุปที่แท้จริงคือ ธงช่วยผู้ต้องหา
อัยการใช้ ข้อกฎหมายผิดบริบท + ความเห็นพยานที่ไม่มีอำนาจตีความ มาเป็นเกราะในการบิดข้อเท็จจริง ผลลัพธ์คือการ “สร้างข้อสงสัยเทียม” เพื่อให้ผู้ต้องหาพ้นผิด
“อัยการมิได้ตีความกฎหมายอย่างรอบด้าน แต่จงใจหยิบข้อห้ามเชิงปกครองมาบิดเป็นการตัดสิทธิ์กรรมสิทธิ์ และนำความเห็นของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติที่ไม่มีอำนาจตีความสัญญามาใช้เป็นเหตุผลหลัก อันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา”
“การคิดค่าบริการจัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอยแล้ว…หาได้มีผลให้ผู้ดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์…ไม่”
สิ่งที่อัยการทำ
อัยการพยายาม แต่งข้อความให้คล้ายเทศบัญญัติ ทั้งที่ตัวบทจริงไม่เคยเขียนว่า “ไม่ก่อกรรมสิทธิ์”
เขาเอา “ข้อห้ามเชิงปกครอง” (ห้ามใครเก็บขยะนอกจากผู้ได้รับมอบหมาย) → ขยายความเป็น “ผู้รับมอบหมายก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ”
ตรงนี้คือ การสอดแทรกถ้อยคำ เพื่อปิดช่องสิทธิของบริษัท
จุดพิรุธ
ตีความนอกตัวบท: เทศบัญญัติเน้นสุขลักษณะ ไม่ได้พูดถึงกรรมสิทธิ์เลย
เขียนเติมเอง: ประโยค “หาได้มีผลให้…” เป็นสำนวนของอัยการ ไม่ใช่กฎหมาย → พยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นเจตนารมณ์ของเทศบัญญัติ
เบี่ยงประเด็นจากรายได้จริง: บริษัทคิดค่าบริการจาก “น้ำหนักขยะ” ที่นำไปชั่ง → ถ้าคนขับแอบเอาขยะรีไซเคิลไปขาย น้ำหนักก็หาย รายได้หลักก็หาย นี่คือ “ความเสียหายชัดเจน” แต่ถูกเบี่ยงด้วยการตีความว่า “ไม่ใช่เจ้าของ”
สิ่งที่อัยการต้องการสื่อ
ทำให้บริษัทเป็นเพียง “ผู้รับจ้างขน” → ไม่มีสิทธิในตัวขยะ
ทำให้ผู้ต้องหาเป็นแค่ “คนเอาของไม่มีเจ้าของไปขาย” → ไม่เข้าข่ายลักทรัพย์
ทำให้คำสั่งไม่ฟ้องฟังดูสมเหตุสมผล ทั้งที่จริงแล้วคือ การสร้างข้อสงสัยเทียม
“อัยการไม่ได้ยึดตัวบทเทศบัญญัติ แต่จงใจแต่งเติมข้อความให้คล้ายกฎหมาย โดยเขียนเพิ่มว่า ‘หาได้มีผลให้…ไม่’ ทั้งที่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้ การกระทำนี้เป็นการสร้างข้อความเทียม เพื่อบิดความเข้าใจว่าบริษัทไม่มีสิทธิในขยะ ทั้งที่รายได้ของบริษัทผูกกับน้ำหนักรวมของขยะซึ่งหายไปจากการทุจริตของลูกจ้างอย่างชัดเจน”
ความคิดเห็น