top of page

บทความ หน้าสนใจ

อัปเดตเมื่อ 4 ก.ย.

อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง

“หัวหน้างานรักษาความสะอาดเทศบาลให้การว่า…สัญญาจ้างมิได้ระบุให้กรรมสิทธิ์ในขยะเป็นของผู้เสียหาย แต่เพียงให้นำไปเก็บและกำจัด…จึงเห็นว่าขยะเป็นทรัพย์ที่เจ้าของเลิกการครอบครอง เป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ บุคคลอาจเข้าถือเอาได้…”

  • การตีความสัญญาแบบ “ตัวอักษรสุดขั้ว”อัยการถือว่า “สัญญาไม่ได้ระบุว่าขยะเป็นของบริษัท” = “บริษัทไม่มีกรรมสิทธิ์” ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะในทางกฎหมาย “การครอบครองและลงทุนแปรสภาพ” ย่อมก่อสิทธิ แม้ไม่เขียนไว้ตรง ๆ

    เงื่อนไขเทียม Artificial conditions
  • ละเลยข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติเมื่อขยะถูกเก็บขึ้นรถของบริษัทแล้ว → อยู่ในความครอบครองของบริษัทโดยสมบูรณ์ บริษัทแบกรับต้นทุน (แรงงาน, น้ำมัน, รถ, เวลาคัดแยก) → นี่คือหลักฐานว่าขยะ “ไม่ใช่ของไม่มีเจ้าของ” อีกต่อไป

  • บิดการอ้างอิงกฎหมายแพ่งการอ้าง มาตรา 1338–1339 ป.พ.พ. (ทรัพย์สละกรรมสิทธิ์) ใช้กับทรัพย์ที่เจ้าของ “สละโดยแท้จริง” เช่น ทิ้งขวดไว้ริมทางโดยไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่ขยะในระบบเทศบาลมี ผู้รับสัมปทาน มาดำเนินการแล้ว ไม่เข้าข่ายทรัพย์ไม่มีเจ้าของ

ree

 สิ่งที่อัยการต้องการสื่อ

  • ลดสถานะบริษัททำให้บริษัทเป็นแค่ “ผู้เก็บและขน” ไม่ใช่ “เจ้าของหรือผู้มีสิทธิในวัตถุดิบรีไซเคิล” → เพื่อตัดองค์ประกอบ “ลักทรัพย์นายจ้าง”

  • ขยายความว่าผู้ต้องหาไม่ผิดถ้าขยะเป็น “ของไม่มีเจ้าของ” → การที่ลูกจ้างถือเอาไปขาย = ไม่ใช่ “ลักทรัพย์” → ตัดฐานคดีอาญา

  • สร้างเหตุผลทางกฎหมายที่ดูเป็นกลางอัยการต้องการให้คำสั่งไม่ฟ้องดู “หนักแน่น” โดยโยงกับกฎหมายแพ่งและเทศบัญญัติ แต่แท้จริงคือการใช้กฎหมายผิดบริบท


ผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์

  • ทำให้เรื่องจาก “การยักยอกทรัพย์นายจ้าง” → กลายเป็น “การหยิบทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ”

  • เปิดทางให้ผู้ต้องหา “รอดคดีอาญา” และเรื่องถูกลดระดับเหลือแค่ “ปัญหาวินัยแรงงาน”

  • ทำให้ผู้เสียหาย (บริษัท) ถูกตัดสิทธิ์ฟ้องฐานทรัพย์ ทั้งที่มีความเสียหายจริง

👉 สรุปสั้น ๆ:อัยการ “หยิบคำให้การของหัวหน้าเทศบาล” มาตีความเกินจริง แล้วใช้เป็นข้ออ้างทางกฎหมายว่า ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นคดี นี่คือการบิดข้อเท็จจริงและใช้กฎหมายผิดบริบทโดยเจตนา


การที่ “หัวหน้างานรักษาความสะอาด เทศบาลเมืองบ้านฉาง” โผล่มาในคำสั่งไม่ฟ้อง มีลักษณะเป็น “พยานเสริมที่อัยการเลือกมาใช้” เพื่อสนับสนุนธงของตัวเองว่าบริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของขยะ มาดูเป็นชั้น ๆ:


หัวหน้างานรักษาความสะอาดคือใคร?

  • ไม่ใช่คู่สัญญาในสัญญาสัมปทาน (คู่สัญญาคือเทศบาล ↔ บริษัท คลีน มหานคร)

  • ไม่มีอำนาจตีความหรือชี้ขาดเรื่อง “กรรมสิทธิ์” ตามกฎหมาย

  • บทบาทจริง ๆ คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติของเทศบาล → แต่ถูกหยิบมาใช้เหมือน “ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสัญญา”


อัยการเอามาใช้ทำไม?

  • อัยการ ถามนำ/เลือกหยิบคำตอบ เพื่อต้องการให้ได้ประโยคว่า “สัญญาไม่ได้ระบุว่าบริษัทเป็นเจ้าของขยะ”

  • จุดนี้กลายเป็น หลักฐานเสริม (แต่ถูกยกสูงเกินจริง) ว่า “แม้คนในเทศบาลเองยังยืนยันว่าไม่ใช่ของบริษัท”

  • ทั้งที่จริง ๆ การตีความสัญญา ต้องใช้ข้อกฎหมาย ไม่ใช่ความคิดเห็นของหัวหน้างานฝ่ายปฏิบัติ


ข้อพิรุธที่ตามมา

  • เลือกใช้พยานผิดคน: ทำไมอัยการไม่ไปเอาคำให้การ “ผู้ร่างสัญญา” หรือ “ฝ่ายกฎหมายเทศบาล” แต่กลับไปหยิบหัวหน้างานรักษาความสะอาด ซึ่งไม่ใช่ผู้มีอำนาจตีความ?

  • ถามเพื่อตอบ: สำนวนบ่งชี้ว่าอัยการหรือพนักงานสอบสวนอาจเป็นคน “กำหนดทิศทางคำถาม” เพื่อให้ได้คำตอบในแนวที่ตัวเองต้องการ

  • ใช้พยานเสริมให้กลายเป็นพยานหลัก: ความเห็นของหัวหน้างานถูกยกไปเป็นรากฐานในการสรุปว่า ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ


เจตนาเชิงกลยุทธ์ของอัยการ

  • ทำให้ดูเหมือนว่า “แม้คนของเทศบาลเองก็ยืนยันตรงนี้” → เสริมความน่าเชื่อถือให้ข้อสรุปของอัยการ

  • ลดน้ำหนักสิทธิของบริษัทลง เหลือแค่ “ผู้เก็บตามสัญญา” ไม่ใช่ “เจ้าของวัตถุดิบ”

  • สร้าง “เกราะ” ให้การตีความผิดพลาดของอัยการดูมีที่มาที่ไปจากพยานบุคคล

👉 พูดง่าย ๆ: การดึงหัวหน้างานรักษาความสะอาดมาเป็นพยาน คือ “การหาพยานมาเสริมธง” ของอัยการ ไม่ใช่การค้นหาความจริงเชิงกฎหมาย เพราะคน ๆ นี้ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตีความสัญญา แต่ถูกใช้เพื่อทำให้คำสั่งไม่ฟ้องดูมีน้ำหนัก


  • อัยการไม่ได้ค้นหาความจริง แต่ไปหยิบยืมความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ

    หัวหน้างานรักษาความสะอาดมิใช่คู่สัญญา มิใช่ฝ่ายกฎหมายของเทศบาล และไม่มีอำนาจตีความสัญญาสัมปทาน แต่กลับถูกอัยการนำมาวางเป็นฐานเหตุผลตัดสิทธิ์กรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ ถือเป็นการใช้ “พยานผิดตัว” เพื่อตอบโจทย์ธงของอัยการเอง

  • การถามเพื่อตอบ ไม่ใช่การค้นหาความจริง

    อัยการมิได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อความรอบด้าน แต่เลือกถามในลักษณะชี้นำ เพื่อให้ได้ประโยคที่ว่า “สัญญาไม่ได้ระบุกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัท” แล้วนำไปใช้หักสิทธิ์บริษัทโดยพลการ

  • บิดเบือนน้ำหนักพยาน

    ความเห็นของหัวหน้างานรักษาความสะอาดเป็นเพียง “ความเห็นส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ” แต่ถูกยกให้เป็น “พยานหลัก” ที่ใช้ตัดฐานความผิดอาญา นี่คือการบิดน้ำหนักพยานบุคคล เพื่อทำให้คำสั่งไม่ฟ้องดูสมบูรณ์ ทั้งที่แท้จริงไร้ความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย

  • จงใจหาพยานมาช่วยจำเลย

    การเลือกหยิบหัวหน้างานรักษาความสะอาดเข้ามาในสำนวน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ เป็นการ “หาพยานมาช่วย” ให้ข้อสรุปที่ว่า “ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ” ฟังดูน่าเชื่อ ทั้งที่เป็นการบิดข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้ต้องหาพ้นผิด


…การคิดค่าบริการจัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอยแล้ว…ก็ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บขยะมูลฝอยจากอาคารสถานที่ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศข้างต้นเท่านั้น หาได้มีผลให้ผู้ดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในขยะมูลฝอยที่ถูกทิ้งแล้วแต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้สอดคล้องกับที่หัวหน้างานรักษาความสะอาดเทศบาลเมืองบ้านฉางให้การว่า…”


  1. ใช้ “ข้อห้ามเก็บขยะ” มาบิดเป็น “ไม่มีกรรมสิทธิ์”

    • เทศบัญญัติห้ามเก็บขยะเพื่อควบคุมสุขลักษณะ ไม่ได้หมายความว่าผู้รับสัมปทานไม่มีสิทธิในขยะที่เก็บขึ้นรถแล้ว

    • อัยการตีความกฎหมายผิดบริบท → จาก “ข้อห้ามเชิงปกครอง” กลายเป็น “ตัดสิทธิ์กรรมสิทธิ์”

  2. อ้างหัวหน้างานเทศบาลเป็นตัวเสริม

    • หัวหน้างานไม่มีอำนาจตีความสัญญา แต่ถูกนำมาเป็น “พยานเสริม” แล้วดันยกเป็นเหตุผลหลัก

    • ตรงนี้สะท้อนว่าอัยการกำลัง “หาคนมายืนยันตามธง” มากกว่าหาความจริง

  3. เพิกเฉยต่อการลงทุนและการครอบครองจริง

    • บริษัทเป็นผู้ลงทุนค่าแรง ค่าน้ำมัน รถ และเวลาในการคัดแยกขยะ

    • ขยะรีไซเคิลที่ถูกคัดแยกแล้วเป็น “วัตถุดิบ” ของบริษัท ไม่ใช่ “ของไม่มีเจ้าของ”

🎯 สิ่งที่อัยการต้องการสื่อ

  • “บริษัทเป็นเพียงผู้ให้บริการจัดเก็บและกำจัด ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์”

  • “ขยะเป็นของไม่มีเจ้าของ → ลูกจ้างหยิบไปขายก็ไม่ผิดลักทรัพย์”

  • “แม้หัวหน้าฝ่ายทำความสะอาดเทศบาลเองก็ยืนยันตรงนี้” → เสริมความน่าเชื่อถือให้ข้อสรุปที่แท้จริงคือ ธงช่วยผู้ต้องหา


อัยการใช้ ข้อกฎหมายผิดบริบท + ความเห็นพยานที่ไม่มีอำนาจตีความ มาเป็นเกราะในการบิดข้อเท็จจริง ผลลัพธ์คือการ “สร้างข้อสงสัยเทียม” เพื่อให้ผู้ต้องหาพ้นผิด

“อัยการมิได้ตีความกฎหมายอย่างรอบด้าน แต่จงใจหยิบข้อห้ามเชิงปกครองมาบิดเป็นการตัดสิทธิ์กรรมสิทธิ์ และนำความเห็นของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติที่ไม่มีอำนาจตีความสัญญามาใช้เป็นเหตุผลหลัก อันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา”


“การคิดค่าบริการจัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอยแล้ว…หาได้มีผลให้ผู้ดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์…ไม่”


สิ่งที่อัยการทำ

  • อัยการพยายาม แต่งข้อความให้คล้ายเทศบัญญัติ ทั้งที่ตัวบทจริงไม่เคยเขียนว่า “ไม่ก่อกรรมสิทธิ์”

  • เขาเอา “ข้อห้ามเชิงปกครอง” (ห้ามใครเก็บขยะนอกจากผู้ได้รับมอบหมาย) → ขยายความเป็น “ผู้รับมอบหมายก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ”

  • ตรงนี้คือ การสอดแทรกถ้อยคำ เพื่อปิดช่องสิทธิของบริษัท

จุดพิรุธ

  • ตีความนอกตัวบท: เทศบัญญัติเน้นสุขลักษณะ ไม่ได้พูดถึงกรรมสิทธิ์เลย

  • เขียนเติมเอง: ประโยค “หาได้มีผลให้…” เป็นสำนวนของอัยการ ไม่ใช่กฎหมาย → พยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นเจตนารมณ์ของเทศบัญญัติ

  • เบี่ยงประเด็นจากรายได้จริง: บริษัทคิดค่าบริการจาก “น้ำหนักขยะ” ที่นำไปชั่ง → ถ้าคนขับแอบเอาขยะรีไซเคิลไปขาย น้ำหนักก็หาย รายได้หลักก็หาย นี่คือ “ความเสียหายชัดเจน” แต่ถูกเบี่ยงด้วยการตีความว่า “ไม่ใช่เจ้าของ”

สิ่งที่อัยการต้องการสื่อ

  • ทำให้บริษัทเป็นเพียง “ผู้รับจ้างขน” → ไม่มีสิทธิในตัวขยะ

  • ทำให้ผู้ต้องหาเป็นแค่ “คนเอาของไม่มีเจ้าของไปขาย” → ไม่เข้าข่ายลักทรัพย์

  • ทำให้คำสั่งไม่ฟ้องฟังดูสมเหตุสมผล ทั้งที่จริงแล้วคือ การสร้างข้อสงสัยเทียม


“อัยการไม่ได้ยึดตัวบทเทศบัญญัติ แต่จงใจแต่งเติมข้อความให้คล้ายกฎหมาย โดยเขียนเพิ่มว่า ‘หาได้มีผลให้…ไม่’ ทั้งที่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้ การกระทำนี้เป็นการสร้างข้อความเทียม เพื่อบิดความเข้าใจว่าบริษัทไม่มีสิทธิในขยะ ทั้งที่รายได้ของบริษัทผูกกับน้ำหนักรวมของขยะซึ่งหายไปจากการทุจริตของลูกจ้างอย่างชัดเจน”


ความคิดเห็น

ได้รับ 0 เต็ม 5 ดาว
ยังไม่มีการให้คะแนน

ให้คะแนน

รอบรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม

แหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการสร้างความั่งยืนในชีวิตประจำวัน มาร่วมกันสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับอนาคตของเรากันเถอะ!

4.png

รถกักเก็บขยะแบบอัด

รถกักเก็บขยะแบบอัดของเราโดดเด่นด้วยระบบไฮดรอลิกอันทรงพลังที่สามารถบีบอัดขยะให้มีขนาดเล็กลงได้มาก ทำให้สามารถขนส่งขยะได้ในปริมาณที่มากกว่ารถทั่วไปถึง 3-5 เท่า นั่นหมายถึงการเดินทางไปทิ้งขยะที่น้อยลง ประหยัดเชื้อเพลิง และ ลดการปล่อยมลพิษ สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ

23.png

Item Title

Describe the item and include any relevant details. Click to edit the text.

22.png

Item Title

Describe the item and include any relevant details. Click to edit the text.

30.png

Item Title

Describe the item and include any relevant details. Click to edit the text.

1.png

Item Title

Describe the item and include any relevant details. Click to edit the text.

11.png

Item Title

Describe the item and include any relevant details. Click to edit the text.

bottom of page